เมื่อจะซื้อสินค้าอะไรสักอย่าง แทบทุกคนจะต้องมีการเปรียบเทียบราคา พยายามหาแหล่งจำหน่ายสินค้าที่ได้ราคาถูกที่สุด ยิ่งเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ก็ยิ่งเฟ้นยิ่งหา เทียบสเปคและราคากว่าจะตัดสินใจได้ เชื่อว่าหลายๆคนที่จะซื้อแบตเตอรี่ก็ไม่ต่างกัน แต่แบตเตอรี่รถจะดูแต่เรื่องราคาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพิถีพิถันในการเลือกซื้อกว่าสินค้าสิ้นเปลืองทั่วไป เพราะสิ่งที่ควรคำนึงมากกว่าราคาคือ “ความปลอดภัย”
สำหรับผู้ที่มีรถจะรู้กันดีว่าแบตเตอรี่เป็นส่วนสำคัญมาก เพราะถ้าแบตหมด จะไม่สามารถใช้งานรถคู่ใจได้เลย ยิ่งถ้าแบตหมดกระทันหันช่วงที่กำลังเดินทางเร่งด่วน จะวุ่นวายและน่าหงุดหงิดมากๆ และอาจอันตรายหรือเกิดอุบัติเหตุได้ หากรถดับขณะเดินทางตอนกลางคืน หรืออยู่กลางแยกไฟจราจร
ส่วนใหญ่เหตุการณ์แบตเตอรี่หมดกลางทาง มักจะเกิดจากที่ผู้ขับขี่ไม่ได้ตรวจเช็ครถยนต์ก่อนเดินทาง ไม่ได้คอยตรวจสอบว่าแบตเตอรี่รถยนต์กี่ปีเปลี่ยน ถึงเวลาเปลี่ยนเมื่อไร จึงไม่ได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนเนิ่นๆ ดังนั้นการคอยหมั่นเช็คแบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปี จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ขับขี่ยานยนต์ไม่ควรมองข้าม
ตกลงแบตเตอรี่รถยนต์ใช้ได้กี่ปีกันแน่ อาจจะได้คำตอบที่ไม่ชัดเจนเสียทีเดียว เพราะปัจจัยที่ส่งผลต่ออายุการใช้งานแบตเตอรี่มีหลายอย่างด้วยกัน ทั้งลักษณะการใช้งาน การดูแลรักษา สภาพภูมิอากาศ แต่โดยปกติแล้วแบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่ 2 ปี หรืออาจมากกว่านั้น ไม่ควรลากยาวเกิน 3 ปี
ผู้ใช้รถส่วนใหญ่จะรู้ว่าแบตเตอรี่ที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบันจะมี 4 ประเภท ได้แก่
- แบตเตอรี่เปียกหรือแบตเตอรี่น้ำ ที่ต้องคอยเช็คระดับน้ำกลั่น ต้องคอยเติมน้ำกลั่นเมื่อระดับน้ำพร่องลงไปจากขีดที่กำหนด หรืออาจหมั่นเติมน้ำกลั่นสัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้รถมีความพร้อมในการใช้งานอยู่เสมอ
- แบตเตอรี่กึ่งแห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ยังต้องคอยเติมน้ำกลั่นอยู่ แต่จะไม่บ่อยเท่าแบตเตอรี่เปียก เพราะของเหลวในแบตเตอรี่มีความเข้มข้นสูงกว่า ทำให้การระเหยได้ช้ากว่า
- แบตเตอรี่แห้ง เป็นแบตเตอรี่ที่ได้รับความนิยมมาก เพราะไม่ต้องดูแลอะไรมาก และไม่ต้องคอยเติมน้ำกลั่นตลอดอายุการใช้งาน
- แบตเตอรี่ไฮบริด แบตเตอรี่ที่พัฒนามาจากแบตเตอรี่น้ำ ใช้โลหะเป็นชนิดแผ่นธาตุลบ เพื่อปรับการระเหยของน้ำกลั่นให้น้อยลงกว่าเดิม ทำให้ไม่ต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ แบตเตอรี่ไฮบริดมักจะใช้กับรถโดยสาร รถบรรทุก หรือรถที่ใช้งานหนักๆ
โดยปกติแบตเตอรี่รถยนต์ที่อายุยังไม่ถึง 1 ปี นับตั้งแต่วันผลิต จะมีโอกาสน้อยมากที่จะเสื่อม หรือแบตหมดก่อนวันที่กำหนด แต่ถ้าแบตอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป หรือแบตอายุ 12-24 เดือน จะต้องคอยเช็คระดับน้ำกลั่นอยู่เสมอ ดังนั้นคนที่รักรถมากๆ จะดูแลและพยายามใช้งานแบตเตอรี่อย่างถูกวิธี และจะคอยทำการสตาร์ทรถบ่อยๆ เพื่อเช็คสภาพรถ เมื่อต้องจอดรถนานๆ หรือนำรถออกไปขับบ้าง เพื่อให้ไดชาร์จมีการทำงาน และปั่นกระแสไฟให้กับแบตเตอรี่ได้มีสำรองไว้พร้อมใช้เสมอ
สาเหตุส่วนใหญ่ที่แบตเตอรี่เสียเร็ว มักจะเกิดจากไดชาร์จทำงานผิดปกติ ชาร์จไฟเกินขนาด จอดรถทิ้งไว้นานเกินไป หรืออาจเกิดจากการที่เจ้าของรถไม่เคยดูแลรักษาแบตเตอรี่เลย เช่น ปล่อยให้ขั้วสกปรก ทำให้การประจุไฟได้ไม่ดี ลืมเติมน้ำกลั่น หรือซื้อแบตเตอรี่ที่ไม่มีคุณภาพ แบตจึงเสื่อมเร็วกว่าที่ควรจะเป็น หากเป็นกรณีแบตเตอรี่น้ำกลั่น ก็จะสังเกตได้จากอาการเดือดของไอกรดขึ้นมาค่อนข้างเยอะกว่าปกติ น้ำกลั่นยุบเร็ว ต้องคอยเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างนี้เป็นต้น
อีกสิ่งที่มักจะมีคนเข้าใจผิด และทำกันผิดๆ จึงทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว คือการเติมน้ำเปล่าแทนน้ำกลั่น เพระาเข้าใจว่าน้ำเปล่าเป็นน้ำสะอาดที่ใช้ทดแทนได้ แต่ที่จริงแล้วน้ำเปล่ามีแร่ธาตุและสิ่งเจือปนอื่นๆ ซึ่งมีความจำเป็นต่อร่างกายมนุษย์ แต่ไม่มีประโยชน์ต่อแบตเตอรี่ นอกจากนี้อาจทำให้เกิดตะกรัน และประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่ลดลง ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น แต่น้ำกลั่นจะไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ และมีความเป็นกรด จึงเหมาะกับการเติมแบตเตอรี่ ซึ่งมีของเหลวเป็นกรดอยู่ภายในมากกว่านั่นเอง
เมื่อแบตรถหมด เจ้าของรถหลายคนนิยมจะเข้าอู่รถมากกว่าศูนย์บริการ เพราะเสียงส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า ถ้าจะซื้อแบตหรือเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ราคาถูก ก็ต้องที่อู่รถ ซึ่งจะถูกกว่าศูนย์บริการรถยนต์ เพราะนอกจากจะเปลี่ยนแบตรถยนต์ราคาถูกกว่า ยังสามารถใช้แบตลูกเดิมเทิร์นแบตลูกใหม่ได้ด้วย ส่วนเรทการเทิร์นแบตรถเก๋งราคาก็จะอยู่ที่ประมาณ 200-300 บาท แต่บางแห่งอาจตั้งราคาเทิร์นไว้สูงกว่า แต่ก็ไม่ต่างกันมาก ถ้าสำรวจและเปรียบเทียบกันจริงๆ แบตประเภทเดียวกัน มีสเปคและรุ่นเดียวกัน คุณภาพใกล้เคียงกัน แต่ต่างแบรนด์ เช่น แบตเตอรี่รถ 90 แอมป์ แต่แบตตารี่รถยนต์ราคาในศูนย์ฯกับนอกศูนย์บริการก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อแบตเตอรี่มาเปลี่ยนเอง แม้ว่าจะเจอร้านที่จำหน่ายแบตรถยนต์ราคาถูกมาก แต่สิ่งสำคัญกว่าคือจะต้องเป็นแบตเตอรี่ที่รองรับการใช้งานแบบเดียวกับรถที่ใช้อยู่ เช่น แบตเตอรี่รถยนต์90แอมป์ราคาถูกมากๆ แต่รถของคุณเป็นรถบรรทุก ที่รองรับแบตเตอรี่รถยนต์120แอมป์ นั่นเท่ากับแบตลูกใหม่มีขนาดเล็กกว่าลูกเก่า จะทำให้กระแสไฟจ่ายไปยังส่วนต่างๆของรถไม่เพียงพอ ส่งผลให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว และอาจเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดได้ อย่างเช่น หม้อแบตรถระเบิด ไดชาร์จรวน หรือแม้แต่กระแสไฟลัดวงจร ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายเหตุการณ์
การจะเปลี่ยนแบตเตอรี่รถยนต์ลูกใหม่ จะต้องมีขนาดที่เท่ากับแบตที่ติดรถมาจากโรงงาน หรืออาจมีจำนวนแอมป์มากกว่าเดิมเล็กน้อย แต่ไม่ควรเกิน 10 แอมป์ ปฏิเสธไม่ได้ว่า สินค้าเดียวกัน แต่มีราคาถูกกว่า ก็ย่อมน่าสนใจกว่า มีหลายคนที่ได้ซื้อแบตเตอรี่รถเก๋งราคาถูกมาก แต่แบตเตอรี่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานไปไม่นาน แบตเตอรี่เสื่อมหรือหมด ต้องคอยชาร์จบ่อยๆ ซึ่งบางคนก็ชาร์จทิ้งไว้นานๆ เพราะแบตหมดเร็ว ทำให้เกิดโอเว่อร์ชาร์จ หรือแบตบวม จนระเบิดขณะชาร์จ หรืออาจระเบิดขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่บนถนน บางรายอาจโชคดีเสียแค่ทรัพย์สิน แต่บางรายอาจเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนถึงชีวิต ด้วยเหตุนี้เมื่อคุณจะซื้อแบตเตอรี่จึงต้องใช้หลักความปลอดภัย ด้วยการเลือกแบตที่มีคุณภาพมากกว่าเพียงแค่ราคาถูก
หากเจอร้านไหนที่เสนอขายแบตเตอรี่ราคาในหลักร้อย หรือดูจะราคาถูกจนน่าแปลกใจ ให้สงสัยไว้ก่อน ว่าราคาถูกแต่คุณภาพต่ำ คุณคงไม่อยากเสียเวลากับการซื้อแบตเตอรี่เปลี่ยนบ่อยๆ หรือต้องนำชีวิตไปเสี่ยง มันจะดีกว่า หากเพิ่มเงินอีกหน่อย แต่ได้แบตที่ประสิทธิภาพเต็มร้อย อึด ใช้งานได้นาน และมั่นใจว่าจะปลอดภัยทุกครั้งที่คุณใช้รถ
แล้วต้องซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ราคาเท่าไรถึงจะได้แบตอึด ใช้ได้นาน และคุ้มค่ากับการใช้งาน?
บางคนอาจมีข้อโต้แย้งว่าแบตเตอรี่มือสองที่ยังมีสภาพดี ใช้งานได้ แม้ประสิทธิภาพอาจด้อยกว่าแบตผลิตใหม่ แต่ราคาก็ถูกกว่าหลายร้อย ใช่! เป็นจริงที่ว่าราคาแบตเตอรี่มือสองถูกกว่า แต่ถ้าคุณติดตามข่าวแบตเตอรี่ระเบิดใส่ช่างขณะที่จะถอดปลั๊กพ่วงที่ชาร์ไว้ จนเกือบตาบอด หรือข่าวที่รถระเบิดบนถนน จนเป็นเหตุให้ทุกคนบนรถเสียชีวิต เนื่องมาจากแบตเตอรี่บวมและประทุจนระเบิดขึ้น และอีกหลายๆอุบัติเหตุ ที่มีต้นเหตุมาจากแบตเตอรี่ และถ้าคุณเข้าใจว่าอะไหล่คนไม่มีให้เปลี่ยนเหมือนอะไหล่รถยนต์ การเพิ่มเงินอีกเพียงไม่กี่ร้อยบาท สำหรับแบตเตอรี่ที่มีคุณภาพ เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน ย่อมดีกว่าแน่นอน
แบตเตอรี่มือหนึ่งคุณภาพดี ผลิตใหม่ ราคาจะอยู่ที่หลักพันขึ้นไป แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภท รุ่น จำนวนแอมป์ และยี่ห้อแบตเตอรี่ แต่แบตเตอรี่ที่มีสเปคเดียวกัน แม้จะต่างยี่ห้อกัน ราคาก็ต่างกันไม่มากนัก อายุการใช้งานก็เช่นเดียวกัน แบรนด์ที่ต่างกันก็อาจแตกต่างกันที่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เท่านั้น รวมไปถึงความนิยมในแบรนด์ของแต่ละคน
เรทราคาแบตเตอรี่ทั่วไป
แบตเตอรี่รถยนต์ 40 แอมป์ ราคาประมาณ 1,900 – 2,200 บาท
แบตเตอรี่รถยนต์ 75 แอมป์ ราคาประมาณ 2,600 – 2,800 บาท
แบตเตอรี่รถยนต์90แอมป์ราคา ประมาณ 3,100 – 3,500 บาท
แบตเตอรี่รถยนต์ 100 แอมป์ ราคาประมาณ 3,500 – 3,800 บาท
แบตเตอรี่รถยนต์120แอมป์ราคา ประมาณ 3,500 – 5,000 บาท
ส่วนใหญ่แบตเตอรี่รถยนต์กระบะราคาเริ่มต้นอยู่ที่ประมาณ 2,500 บาทขึ้นไป ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับจำนวนแแอมป์และยี่ห้อแบตเตอรี่ แต่คุณภาพในแต่ละยี่ห้อก็ค่อนข้างใกล้เคียงกัน นอกจากนี้เรทราคาแบตเตอรี่มีการผันผวนขึ้นลงได้ตลอด รวมไปถึงราคาที่แตกต่างจากการเทิร์นแบตลูกเก่า ฉะนั้นควรติดต่อสอบถามทางร้านอีกครั้งจะดีที่สุด
ข้อดีของการซื้อแบตเตอรี่จากบริษัทแบรดน์โดยตรง / ร้านตัวแทนจำหน่ายที่มีมาตรฐาน
แบตเตอรี่มีคุณภาพ ราคาประหยัด ควรซื้อจากบริษัทแบรนด์นั้นๆโดยตรง หรือร้านตัวแทนจำหน่ายที่น่าเชื่อถือ เพราะจะได้แบตเตอรี่ผลิตใหม่ เนื่องจากเพิ่งส่งตรงมาจากโรงงาน ได้แบตสดใหม่ ไม่ค้างเก่าเก็บ เหลืออายุการใช้งานอีกนาน ราคาไม่บวกเกินมาตรฐานที่กำหนด มีการรับประกันแบตเตอรี่ขั้นต่ำ 1 ปี และหากแบตเตอรี่มีปัญหา ก็สามารถทำการปรึกษา หรือทำการเปลี่ยนได้ง่ายและสะดวกกว่าร้านทั่วไปที่มีการซื้อขายจากโรงงานแบบผูกขาด
แน่นอนว่าการซื้อแบตเตอรี่รถยนต์ในราคาที่สมเหตุสมผล ก็จะได้แบตที่มีประสิทธิภาพดีสมราคา สามารถใช้งานโดยไม่มีปัญหากวนใจ ตลอดอายุการใช้งาน ถ้าเทียบกับแบตเตอรี่ราคาต่ำกว่ามาตรฐาน ที่อาจมีการยัดไส้แบตเสื่อม หรือใกล้หมดอายุมาให้ และข้อสำคัญที่ลืมไม่ได้นั่นคือ ต้องคอยหมั่นสังเกตความผิดปกติ และตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของแบตเตอรี่อยู่เสมอ เพื่อยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่ได้นานยิ่งขึ้น รวมไปถึงคอยเช็ควันหมดอายุของแบตเตอรี่ เพื่อเตรียมแบตลูกใหม่แต่เนิ่นๆ ยิ่งมีเวลาในการหาแบตเตอรี่ลูกใหม่มากเท่าไร ก็จะยิ่งมีโอกาสที่จะได้แบตเตอรี่คุณภาพดี อึด ทน ใช้ดี ใช้นาน ไร้ปัญหาจุกจิก แต่ราคาถูกใจได้มากขึ้น
