วันป่าไม้โลก หริอ World Forestry Day คือ วันที่ 21 มีนาคม ของทุกปี ถูกจัดตั้งขึ้นโดยสหประชาชาติ เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักถึงความสำคัญของป่าตลอดถึงประโยชน์ที่ได้จากผลผลิตจากป่าไม้ กระตุ้นให้เกิดความหวงแหนและร่วมมือในการอนุรักษ์ป่าไม้มากขึ้น   

วันป่าไม้โลกเกิดขึ้นเมื่อไร 

วันป่าไม้โลก เกิดขึ้นจากการประชุมครั้งที่ 23 ของสันนิบาตยุโรปด้านการเกษตร (European Confederation of Agriculture) ในปี 1998 และได้รับการสนับสนุนแนวความคิดดังกล่าวจาก FAO หรือ องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ โดยได้กำหนดให้มีการจัดกิจกรรมวันป่าไม้สากลขึ้นทั่วโลกในวันที่ 21 มีนาคมของทุกปี เพื่อกระตุ้นและสร้างความตระหนักเกี่ยวกับทรัพยากรและปัญหาของป่าไม้ให้กับประชาชน โดยผ่านการประชาสัมพันธ์และข้อมูลข่าวสาร ซึ่งมี 3 ประเด็นหลัก ๆ ได้แก่ 

  1. การป้องกัน (Protection) 
  2. ผลิตผลป่าไม้ (Producion) 
  3. การนันทนาการ (Recreation) 

ทำไมวันป่าไม้โลกต้องเป็นวันที่ 21 มีนาคม ของทุกปี 

สาเหตุที่กำหนดให้วันที่ 21 มีนาคมของทุกปี คือ วันป่าไม้โลก เนื่องจากเป็นวันที่มีช่วงเวลาดวงอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งตรงตั้งฉากกับเส้นศูนย์สูตรของโลกพอดี ซึ่งจะมีเพียงปีละ 2 ครั้ง คือ วันที่ 21 มีนาคม และ วันที่ 22 กันยายน ของทุกปี หรือเมื่อโลกโคจรรองดวงอาทิตย์หนึ่งรอบ แกนหมุนของโลกเอียง (Earth’s axial tilt) เลื่อนอยู่ในระนาบที่ได้ฉากกับตำแห่งดวงอาทิตย์ โดยจุดระนาบที่ทั้งสองตัดกันเรียกว่า “วิษุวัต” (Equinox) ซึ่งเป็นวันที่มีช่วงเวลากลางคืนเท่ากับเวลากลางวันพอดี โดยเหตุการณ์นี้ถูกเรียกว่า “วันราตรีเสมอภาค” 

ป่าไม้มีความสำคัญอย่างไร 

จากคำว่า “ไม่มีป่า ไม่มีเรา” ไม่เกินจริงเลย เพราะเราทุกคนล้วนแต่ใช้ประโยชน์ทางตรงจากป่าไม้ หรือแม้แต่ในทางอ้อม เรี่มจาก ไม้ เรานำไม้มาใช้เป็นเชื้อเพลิงต่าง ๆ สร้างบ้าน เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ครัวเรือน วัสดุก่อสร้าง ไปจนถึงใช้ไม้ในการทำอาวุธ เสื้อผ้า อาหาร น้ำ และ ยา จากต้น ใบ ผล ของพืชพรรณ และอากาศบริสุทธิ์ที่เราทุกคนใช้หายใจกันอยู่ทุกวัน ล้วนมาจากการกระบวนการดูดซับคาร์บอนออกไซด์ของต้นไม้ทั้งสิ้น สังเกตได้ง่าย ๆ ทุกวันนี้ อากาศเลวร้าย ฝุ่นละออง มลพิษ ที่เราสูดหายใจเข้าสู่ร่างกายจนเจ็บป่วยกันมากมาย นั่นเป็นเพราะป่าถูกทำลาย เครื่องฟอกอากาศธรรมชาติของเราได้ลดหายไปจำนวนมากจนน่าใจหาย เพราะป่าไม้คือปอดของโลก ทำหน้าที่กรองมลพิษ และคืนอากาศบริสุทธิ์ให้กับมนุษย์ สัตว์ ดังนั้นบริเวณที่ไม่มีป่าไม้ หรือบริเวณที่ป่าไม้ถูกทำลายจนแทบไม่เหลือไม้ยืนต้น เห็นได้ชัดว่าอากาศเลวร้ายและมีมลพิษมากติดอันดับโลก เช่น หลาย ๆ จังหวัดทางภาคเหนือของไทยในขณะนี้ ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 มากติดท็อป 5 ของโลกไปแล้ว สรุปได้ว่า เราทุกคนต่างพึ่งพาป่าครบปัจจัย 4 อันได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค 

  1. ป่าเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศน์ คือ ป่าไม้มีส่วนในการก่อให้เกิดฝน โดยป่าจะดูดซับความชื้นแล้วปล่อยไปในอากาศ จนความชื้นรวมตัวกันเป็นเมฆฝน และเมื่อเมฆฝนรวมตัวกันมาเข้าจะเกิดการกลั่นตัวเป็นน้ำ กลายเป็นสายฝนสร้างความชุ่มชื้นให้กับป่าและพื้นดิน และป่าก็ทำหน้าที่กักเก็บความชื้นนั้นอีกครั้ง หมุนเวียนเป็นวัฏจักรไปเรื่อย ๆ จึงเรียกได้ว่า ป่าเป็นต้นกำเนิดของน้ำและสรรพชีวิต
  2. ป่าเป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร คือ ป่าไม้ทำหน้าที่เสมือนเป็นแอ่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ โดยมีรากชอนไชไปตามพื้นดิน กักเก็บความชื้นไว้ในดินจำนวนมาก คล้ายกับฟองน้ำขนาดใหญ่ที่คอยดูดซับน้ำเอาไว้ และปล่อยความชื้นที่ดูดซับไว้กลายเป็นสายน้ำไหลลงไปตามห้วย หนอง คลอง บึง และแหล่งน้ำต่าง ๆ 
  3. ป่าเป็นแหล่งอาหาร คือ มนุษย์เริ่มหาอาหารจากในป่าตั้งแต่สมัยโบราณ ด้วยการผลหมากรากไม้ และการล่าสัตว์ต่าง ๆ จากในป่า เพื่อนำมาเป็นอาหารประทังชีวิต รวมไปถึงสมุนไพรต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ล้วนแต่หาได้จากป่าทั้งสิ้น 
  4. ป่าเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า ทำให้กลายเป็นแหล่งเพาะพันธ์ุสัตว์นานาชนิด เนื่องจากเป็นที่อยู่ ที่กิน ของสัตว์ต่าง ๆ ที่ถือได้ว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่าและสำคัญต่อระบบนิเวศน์ของโลก 
  5. ป่าเป็นเครื่องฟอกอากาศของโลก ช่วยปรับสภาพอากาศ และช่วยสร้างอ๊อกซิเจน ด้วยการดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วคายก๊าซอ๊อกซิเจนที่จำเป็นต่อสรรพชีวิตบนโลกนี้ออกมาในทางอากาศ จึงเรียกได้ว่า ป่า คือ ปอดของโลก ทำหน้าที่เป็นเครื่องฟอกอากาศเสียให้กลายเป็นอากาศดี 
  6. ป่าเป็นเกราะป้องกันภัยธรรมชาติ ป้องกันหน้าดินถูกทำลายจากภาวะต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม ไฟป่า เพราะป่าจะเป็นเสมือนแนวกั้นภัยพิบัติเหล่านั้นไว้ก่อนในอันดับแรก  
  7. ป่าเป็นแหล่งเพิ่มพลังงาน เพราะความอุดมสมบูรณ์ และความสวยงามจากธรรมชาติในป่า รวมทั้งอากาศบริสุทธิ์ ทำให้ผู้คนมักจะเข้าไปท่องเที่ยวในป่า เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ ช่วยฟื้นฟูและเพิ่มพลังงานให้กับร่างกายและจิตใจได้เป็นอย่างดี 

ถ้าโลกไม่มีป่าจะเกิดอะไรขึ้น 

ผลกระทบของป่าไม้ถูกทำลายจนทำให้ผืนป่าลดลงไปจำนวนมากที่เห็นได้ชัดเจน คือ การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และยังเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน (Global Warming) รวมไปถึงภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้ ล้วนมีสาเหตุมาจากฝีมือของมนุษย์ที่ทำลายป่าไม้ ทำให้ธรรมชาติขาดความสมดุลจนส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์เป็นวงกว้าง เกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็น น้ำท่วม พายุหิมะ พายุลูกเห็บ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ไฟป่า ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในขณะนี้  

การอนุรักษ์ป่าไม้ทำอย่างไรได้บ้าง 

  1. ป้องกันและปราบปรามการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า รวมไปถึงการเผาป่าเพื่อทำเกษตรกรรม 
  2. ส่งเสริมการปลูกป่าทดแทน 
  3. ใช้วัสดุอื่นแทนผลิตภัณฑ์จากไม้ 
  4. ปลูกจิตสำนึกรักป่าและเห็นความสำคัญของป่าให้กับประชาชนทุกคน 
  5. ตั้งหน่วยดูแลและระบบป้องกันไฟป่า 
  6. ให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับการป้องกันไฟป่า และ วิธีดูแลรักษาป่าที่ถูกต้อง 

นอกจากนี้เราสามารถช่วยกันลดโลกร้อนในระบบครัวเรือนได้ง่าย ๆ ด้วยการคำนึงและใส่ใจด้านการบริโภคแต่พอดี เพื่อลดการสิ้นเปลืองอาหารที่อาจมีไม่เพียงพอต่อประชากรในอนาคต เนื่องจากแหล่งอาหารถูกทำลายเป็นจำนวนมาก รวมถึงด้านแฟชั่นเสื้อผ้าแบบ fast fashion ที่มาเร็วไปเร็ว ทำให้มีการตัดไม้ที่เป็นวัสดุในการผลิตเพิ่มขึ้น และกลายเป็นขยะมลพิษที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา  

ถึงเวลาที่เราทุกคนต้องหันมาใส่ใจ ร่วมมืออนุรักษ์ป่าไม้และดูแลสิ่งแวดล้อมกันอย่างจริงจังเสียที เพราะ 

ไม่มีคน : ป่าอยู่ได้ แต่ ไม่มีป่า : คนอยู่ไม่ได้